top of page

รักอย่างไรจึงจะไม่ทำร้ายคนที่เรารัก?


ความรักโดยเฉพาะรักแท้นั้นก็เหมือนเป็นแรร์ไอเท็ม (ของหายาก) ที่อยู่ในใจกลางส่วนลึกที่สุดของป่าดงดิบอันลึกลับซ่อนเร้น เราเชื่อ หรือแม้กระทั่งเรารู้ ว่ามันมีจริงและมันก็หายาก เราไม่เคยเห็นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันหน้าตาเป็นยังไงแต่เราก็ต้องการมัน เราออกเดินทาง สืบเสาะ สังเกต ตามหา หลายคนหลงทางอยู่ในระหว่างกระบวนการเหล่านั้นจนลืมไปแล้วว่าตัวเองกำลังทำอะไร หลายคนดีใจจนลิงโลดที่หามันพบแล้วโดยไม่รู้เลยว่านั่นเป็นเพียงของปลอม บางคนก็เจ็บป่วยละตายลงช้าๆอย่างเดียวดายในระหว่างการค้นหา แย่กว่านั้นบางคนท้อถอดใจยอมแพ้และสาปส่งว่าสิ่งนี้ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงเรื่องที่มีอยู่เฉพาะในนิยายเพ้อฝัน เป็นเพียงจินตนาการและไม่ควรเสียเวลาออกตามหา แต่พวกเราก็ยังโชคดีมากพอที่ยังมีผู้คนหยิบมือนึงที่หามันเจอ ยืนยันว่ารักแท้มีอยู่จริงและพยายามอธิบายให้พวกเราเข้าใจว่ามันเป็นยังไง แต่ก็โชคไม่ดีอีกเช่นกันที่พวกเราไม่อาจทำความเข้าใจตามได้จนกว่าจะได้รับสัมผัสโดยตรงจากมันด้วยตัวเอง

บางคนได้ค้นพบคำตอบของตัวเองแล้วและเฉลยว่ามันไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลเลย บางครั้งมันก็มาหาเรา บางครั้งเราก็บังเอิญไปชนกับมัน ความรักโดยเฉพาะรักแท้นั้นเมื่อเราได้เจอมันตัวเป็นๆแล้วอาจไม่เหมือนกับรูปแบบที่เราเคยหวังเอาไว้ บางครั้งเรารู้ตัวได้ทันทีที่เจอมัน บางครั้งปัญหาบางอย่างทำให้เราเจอมัน บางครั้งมันก็มาพร้อมกับบททดสอบหนักๆของชีวิต บางครั้งเราเลิกหวังที่จะเจอมันแล้ว แต่มันก็มานั่งพักอยู่ข้างๆเรานั่นเอง

แต่คำถามสำหรับผู้ที่คิดว่าค้นหามันจนพบแล้วก็คือ

เราจะรักอย่างไร จึงจะไม่ทำร้ายคนที่เรารัก?

เมื่อได้ยินแล้วก็อาจจะมีคำถามใหม่เกิดขึ้นมาในใจ

เอ๊ะ! ความรักของเรา มันทำร้ายคนที่เรารักได้ด้วยเหรอ?

บ้าน่า! ก็ความรักที่เรามีให้เค้ามันพิเศษมากๆนี่ มันมีแต่ความปรารถนาดี มีแต่ใจที่คิดจะให้ เราไม่เคยคิดจะให้เค้าต้องพบเจอในสิ่งที่ไม่ดีไม่ถูกไม่ควรเลย มีแต่ความคิดระวังป้องกันปกป้อง จะไปไหนทำอะไรก็มีแต่นึกถึงคอยห่วงและคิดเผื่อตลอด มันดีมันพิเศษขนาดนี้แล้วมันจะทำร้ายเค้าได้ยังไง?

สมมุติว่าแรร์ไอเท็มชิ้นนี้เป็นดอกไม้พิเศษชนิดหนึ่ง หากดอกไม้ที่เราค้นพบในใจกลางส่วนลึกที่สุดของป่าดงดิบอันลึกล้ำซ่อนเร้นดอกนี้มันงอกเจริญอยู่ที่ชะง่อนหินตอนบนของผาน้ำตกที่สูงล้ำยิ่งกว่ายอดไม้ใดๆจะเอื้อมไปถึง กำลังดื่มด่ำกับสายละอองน้ำของน้ำตกที่โปรยละอองฟุ้งโอบกอดทั้งกลีบดอกกลีบใบลำต้นและรากอากาศพันเกี่ยวชะง่อนผา ผ่อนคลายอิ่มเอมกับอุณหภูมิสภาพทั้งความเย็นแสงแดดและสายลมรวมไปถึงเสน่ห์อันสวยงามชวนหลงไหลของสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ภาคภูมิและมีความสุขกับที่ที่ตัวเองอยู่ สถานที่แห่งนี้คงเป็นที่ที่สวยงามที่สุดในโลก หากใครได้มาอยู่ก็คงจะอยู่อย่างมีความสุข มีอิสระทางจิตใจและเป็นตัวของตัวเอง แน่นอน ซึ่ง... ดอกไม้ดอกนี้งัยที่มันกำลังใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ เบ่งบานเปล่งประกายสยายกลีบดอกโปรยปรายกลิ่นละอองเกสรที่หอมสดชื่นเย้ายวนเป็นตัวของตัวเองในแบบที่มันเป็น

เราเดินทางเข้ามาลึกพอจนได้เจอกับสถานที่แห่งนี้และได้เป็นพยานว่ามันสวยงามมากและตกหลุมรักดอกไม้ดอกนี้ในทันทีจนถึงขนาด...

อยากเอากลับบ้าน

เราจะมองเห็นชัดได้มั้ยว่า ดอกไม้ดอกนี้มันสวยงามอยู่แล้วถึงแม้ว่าจะมีหรือไม่มีเราอยู่ก็ตาม มันก็แค่บังเอิญว่าเราโชคดีมากพอที่ดอกไม้ดอกนี้ก็รับรักของเรารักเราเช่นกันและอนุญาตให้เราพากลับบ้านได้ หากเราพานางกลับบ้านจริงๆ นางจะยังคงเป็นดอกไม้บนผาน้ำตกดอกนั้นอยู่อีกรึเปล่า? เราจะสามารถจัดหาละอองน้ำตกและสภาพลมฟ้าอากาศแบบเดียวกับในป่าให้กับดอกไม้ของเราได้รึเปล่า? เราจะสามารถควบคุมเสน่ห์ของที่อยู่อันน่าหลงไหลให้ดอกไม้ได้อยู่อย่างภาคภูมิจนเบ่งบานเปล่งประกายอย่างเช่นเคยได้รึเปล่า?

หากเราไม่สามารถจัดหาอะไรเหล่านั้นได้ เป็นไปได้รึเปล่าว่าแค่ดอกไม้ได้ย้ายมาอยู่กับเราที่บ้านก็เหมือนเป็นการทำร้ายดอกไม้ทางอ้อม? เราเชื่อจริงๆมั้ยว่าสภาพแวดล้อมใหม่ที่ดอกไม้จะมาอยู่นั้นมันดีจริงๆกับดอกไม้ มันสามารถทดแทนสภาพแวดล้อมเดิมที่ดอกไม้เคยอยู่ได้จริง? เราเชื่อจริงๆมั้ยว่าด้วยสภาพแวดล้อมแบบนี้ ดอกไม้ก็ยังคงจะเจริญงอกงามเป็นดอกไม้ที่งดงามภาคภูมิเป็นตัวของตัวเองดอกนั้นที่เราอยากได้บนชะง่อนผาแห่งนั้น? และเราจะยังคงรักดอกไม้ดอกนี้มั้ยหากมันแปรสภาพไปกลายเป็นสิ่งอื่นแทนเนื่องจากสภาพแวดล้อมไม่เหมือนเดิม?

เป็นไปได้มั้ยว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนกับการทำร้ายคนที่เรารัก?

แล้วมันแฟร์กับดอกไม้รึเปล่ากับที่เราพาเธอมาที่นี่จนเธอเป็นแบบนี้ก็เพราะ “เรารักเธอ”?

เราสามารถมองออกได้มั้ยว่าใครกันแน่ที่เรารัก? ดอกไม้?

หรือว่าตัวเราเอง?

ขอโทษทีครับ จริงๆแล้วผมไม่ได้แฟร์กับคุณผู้อ่านเท่าไหร่ที่ให้ลองพิจารณาจากฉากดังที่กล่าวไปแล้ว แต่ตอนนี้ผมทำให้คุณสนใจได้แล้ว :)

ชิวิตของเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราได้ชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ดังนั้นเราไม่ได้ค้นหาป่าลึกลับแห่งเดียวกัน เราไม่ได้ตามหาดอกไม้ดอกเดียวกัน ความหมายชีวิตของเราไม่เหมือนกัน นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมบางคนชอบทะเล บางคนชอบภูเขา บางคนชอบน้ำตก หรือแม้แต่บางคนไปชอบทะเลทรายก็มี (หายากนะ) แต่จริงๆแล้วเราทุกคนต่างอยู่ที่ไหนซักแห่งในการเดินทางของตัวเองที่เรียกว่า “ชีวิต” และตามหาความรักในแบบของตัวเอง

ลองพิจารณาอีกซักเคส หากเรากำลังเดินทางอยู่ในทะเลทรายทุรกันดารแล้วบังเอิญไปเจอกับดอกไม้หินเข้า ปรากฏว่าดอกไม้หินนี้สวยงามแปลกตามากเราไม่เคยเห็นและเสียดายมากที่มันไม่มีชีวิตแต่เราก็อดไม่ได้ในที่สุดเราก็รักมัน ด้วยความปรารถนาดีแห่งความรักของเรา ด้วยการปรากฏตัวของเรา ด้วยการดูแลเอาใจใส่ของเรา เราเพียรหาน้ำมารด ปกป้องจากแสงแดดร้อนระอุและความหฤโหดของพายุทรายหรือแม้แต่การถูกฉี่รดเพื่อสร้างอาณาเขตของจิ้งจอกทะเลทราย (มีด้วยเหรอ?) และอะไรต่อมิอะไรต่างๆจนในที่สุดดอกไม้หินดอกนี้ประทับใจและตัดสินใจที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อเรา มันสลัดเปลือกหินให้แตกออกมาเผยให้เห็นรูปโฉมที่สวยงามดุจเทพนิยายที่ทำให้นึกว่านางอาจจะโดนแม่มดที่ไหนสาปมาก็เป็นได้ออกมา นางบอกว่าเราทำให้นางประทับใจและเชื่อใจเชื่อมั่น นางยินดีที่จะติดตามเราไปทุกหนทุกแห่งที่เราจะไป เพราะสิ่งที่นางเติบโตออกมา แหล่งพลังงานของนางไม่ใช่สภาพแวดล้อมแต่เป็น “ตัวเรา” มันคือเราที่ทำให้นางเบ่งบาน และมันคือตัวนางที่ทำให้เราเบ่งบานเช่นกัน

ตอนนี้คุณคงมองเห็นสิ่งที่ผมชวนให้คุณมองให้คุณคิดแล้ว จากทั้งสองตัวอย่างนั้น มันเป็นไปได้หรือไม่ในชีวิตจริงแห่งความรักและความสัมพันธ์ไม่ว่าจะทั้งของเราหรือของคนอื่นๆ?

คนบางคนไม่ใช่แค่รักเราเท่านั้น

แต่เค้าก็รักตัวเองในตอนที่ได้อยู่กับเราด้วย

แม้แต่เราเองก็เช่นกัน

ถามอีกครั้งว่า เราจะรักอย่างไรจึงจะไม่ทำร้ายคนที่เรารัก?

เราเองคือคนที่รู้จักชีวิตของตัวเราดีที่สุด จริงๆแล้วคุณนั่นแหล่ะที่รู้จักชีวิตของคุณเองดีที่สุด รู้จักคนในชีวิตของคุณเองดีที่สุด สังเกตและติดตามความรู้สึกจากคนรอบตัวของคุณเองดีที่สุด เข้าใจและคาดเดารูปแบบของคนในชีวิตของคุณเองได้ดีที่สุด

คำตอบอยู่ที่คุณ

Enjoy Thinking :)

bottom of page